สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ใครเจ๊งใครเจ็บ?

Cover image สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ใครเจ๊งใครเจ็บ?

สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ใครเจ๊งใครเจ็บ?
 

การกลับมาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 3 กลายเป็นการคัมแบ็กที่เข้มข้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ด้วยภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ทรัมป์ประกาศชัดเจนบนเวทีว่า เขาจะทวงคืนความยิ่งใหญ่ของอเมริกา และแก้ไขความไม่เป็นธรรมทางการค้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอดีต
 

ภายใต้แนวคิด "Trump 2.0" หนึ่งในนโยบายเร่งด่วนที่ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง คือการจัดเก็บภาษีนำเข้า-ส่งออกกับหลายประเทศ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายใน และกดดันคู่ค้าต่างชาติให้ยอมรับเงื่อนไขของสหรัฐฯ

แน่นอนว่านโยบายนี้สร้างแรงกระเพื่อมรุนแรงไปทั่วโลก หลายประเทศต้องเร่งเจรจาเพื่อหาข้อตกลงลดแรงเสียดทาน แต่หนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ จีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยการส่งออกเป็นหัวใจสำคัญ

จีนโต้กลับ - โลกเข้าสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบ

ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีใหม่ จีนได้ประชุมด่วนและมีมติประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่จีนที่ลุกขึ้นโต้กลับ ยังมีอีกหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย สวีเดน เยอรมนี อินเดีย และอีกหลายชาติที่เริ่มขยับตัว

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ "สงครามการค้าโลก" ซึ่งสร้างความปั่นป่วนทั้งในตลาดหุ้น ราคาทองคำ และค่าเงินทั่วโลกอย่างรุนแรง

แต่ที่น่าจับตาที่สุด คือบทบาทของสองประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐฯ และจีน ซึ่งกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่เขย่าตลาดโลก มาดูกันว่า ใคร "เจ็บ" ใคร "เจ๊ง" จากศึกครั้งนี้?

 

เจาะลึก: ใครเจ็บ ใครเจ๊ง ในสงครามการค้าครั้งนี้?

1. จีน: เจ็บ แต่ยังประคองได้

ส่งออกลดลง: บริษัทจีนจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี เครื่องจักร และวัตถุดิบ อาจสูญเสียรายได้ก้อนโตจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพราะภาษีที่สูงลิ่วทำให้แข่งขันไม่ได้

โรงงานปิด-คนตกงาน: อุตสาหกรรมสิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ ของเล่น และเฟอร์นิเจอร์ ต้องลดกำลังการผลิต ปิดกิจการ และปลดพนักงานจำนวนมาก

เศรษฐกิจโตช้าลง: การค้าโลกที่ชะลอตัวกดดันให้ GDP ของจีนเติบโตช้ากว่าคาดการณ์ กระทบทั้งภาคการลงทุนและภาคการบริโภคภายในประเทศ

กลุ่มที่ "เจ๊ง" หนักที่สุดในจีน:

โรงงานผลิตของเล่น เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ราคาถูก ที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างหนัก

บริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็ก (ODM/OEM) ที่ทำสินค้าส่งออก เช่น มือถือราคากลาง ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์

ผู้ส่งออกสินค้าเกษตร เช่น กระเทียม ปลา หมูแปรรูป ที่ถูกภาษีตอบโต้

 

2. สหรัฐฯ: เจ็บลึกในระดับประชาชนและธุรกิจ SME

ต้นทุนธุรกิจเพิ่ม: บริษัทอเมริกันที่นำเข้าสินค้าจากจีนต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นทันที ทั้งวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ไฟฟ้า ของใช้ในบ้าน

ผู้บริโภคโดนขึ้นราคา: สินค้าในชีวิตประจำวันกลายเป็นของแพง ทำให้ชาวอเมริกันเจ็บกระเป๋า ส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ

เกษตรกรเสียหาย: เมื่อจีนระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะถั่วเหลือง ข้าวโพด และเนื้อสัตว์ เกษตรกรอเมริกันจึงประสบปัญหาหนัก บางรายถึงขั้นล้มละลาย ต้องพึ่งเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล

กลุ่มที่ "เจ๊ง" หนักที่สุดในสหรัฐฯ:

เกษตรกรที่ปลูกถั่วเหลือง ข้าวโพด และเลี้ยงเนื้อหมู

ร้านค้าปลีกเล็ก ๆ และบริษัทนำเข้า ที่ไม่สามารถผลักภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภคได้

อุตสาหกรรมผลิตอะไหล่รถยนต์และเครื่องจักร ที่ต้องพึ่งวัตถุดิบจากจีน

 

3. ประเทศที่สาม: ยิ้มกว้าง รับผลประโยชน์เต็ม ๆ

ในขณะที่สองยักษ์ใหญ่ปะทะกัน ประเทศอย่าง เวียดนาม, เม็กซิโก, และ อินเดีย กลับได้ประโยชน์เต็ม ๆ บริษัทต่างชาติพากันย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังประเทศเหล่านี้ เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากภาษี นำมาซึ่งการจ้างงาน การลงทุน และการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว

 

บทสรุป

สงครามการค้าครั้งใหม่ที่จุดชนวนโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้มีผู้ชนะที่แท้จริง ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างเจ็บหนักทั้งคู่ แต่เป็น กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก เกษตรกร และผู้บริโภคทั่วไป ที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดสูงสุด

ในขณะเดียวกัน ประเทศที่สามกำลังฉกฉวยโอกาสจากความวุ่นวายนี้อย่างชาญฉลาด ยกระดับบทบาทตัวเองในเวทีเศรษฐกิจโลกได้อย่างน่าจับตา

 

05 May 2025By Trendpro